泰國小老板海苔國際貿易總監Wachira Yarnthasanakij,揭密成功祕訣!

ตำนานความสำเร็จของแบรนด์เถ้าแก่น้อย

看見泰國編輯團隊

กุญแจแห่งความสำเร็จจากมุมมองของผู้อำนวยการฝ่ายการค้าต่างประเทศ วชิระ ญาณทัศนกิจ

อ่านบทสัมภาษณ์ฉบับภาษาจีน โปรดคลิกที่นี

ภาพยนตร์เรื่องท็อป ซีเคร็ต วัยรุ่นพันล้านที่ออกฉายเมื่อปี 2011 ติดอันดับยอดขายตั๋วอันดับหนึ่งในประเทศไทยถึงสองสัปดาห์ซ้อน ทั้งยังไปฉายถึงต่างประเทศและได้เสียงตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้ชมชาวจีน โดยภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างจากเรื่องจริงของอิทธิพัทธ์ พีระเดชาพันธ์ ผู้ก่อตั้งแบรนด์สาหร่ายชื่อดัง “เถ้าแก่น้อย” เขาลาออกจากโรงเรียนตั้งแต่อายุ 17 และเริ่มตั้งต้นสร้างธุรกิจของตนเอง โดยเริ่มจากการขายเกาลัดคั่ว ต่อจากนั้นจึงก่อตั้ง “เถ้าแก่น้อย” และเริ่มขายสาหร่ายทอดตั้งแต่ปี 2004 ทันทีที่สินค้าวางตลาดก็เป็นที่นิยมของผู้บริโภค ปัจจุบันเถ้าแก่น้อยมีส่วนแบ่งทางการตลาดของอาหารประเภทสาหร่ายถึง 65% ในประเทศไทย ทั้งยังได้ส่งออกไปยังประเทศต่างๆ ถึง 40 ประเทศ สร้างรายได้รวมกว่า 4 พันล้านบาทต่อปี อิทธิพัทธ์ในวัย 32 ปี ได้รับการจัดอันดับจากนิตยสารฟอร์บสให้เป็นหนึ่งใน 50 เศรษฐีที่มีรายได้สูงสุดของประเทศไทย กลายเป็น “เถ้าแก่น้อย” สมฉายาแบรนด์

เถ้าแก่น้อยเป็นผู้นำตลาดสินค้าสาหร่ายในไทย ทั้งยังส่งออกสู่ตลาดต่างประเทศ ต้องวางกลยุทธ์อย่างไรจึงสามารถเอาชนะใจผู้บริโภคในตลาดอาหารและเครื่องดื่มที่มีความหลากหลายได้สำเร็จ ผู้อำนวยการฝ่ายการค้าต่างประเทศบริษัทเถ้าแก่น้อย วชิระ ญาณทัศนกิจ กล่าวว่า “ แบรนด์เถ้าแก่น้อยมีแผนบุกตลาดต่างประเทศตั้งแต่ 10 ปีก่อนแล้ว ในเวลานั้นเราได้วางแผนการตลาดและทำการศึกษาเชิงลึกอย่างละเอียดด้วย”

เถ้าแก่น้อยมีการนำรสชาติใหม่ๆ ออกสู่ตลาดเป็นประจำทุกปี นอกจากจะคิดค้นรสชาติที่คนไทยชอบแล้ว ยังทำการวิจัยตลาดอย่างต่อเนื่อง เพื่อทำความเข้าใจความชอบและพฤติกรรมของผู้บริโภคในแต่ละประเทศด้วย วชิระเล่าให้เราฟังว่า “เราหวังว่าสาหร่ายเถ้าแก่น้อยจะขยายตลาดไปได้ทั่วโลก” นอกจากพยายามสร้างสรรค์สินค้าใหม่อยู่เสมอแล้ว วชิระยังเสริมว่า “การร่วมมือกับตัวแทนจำหน่ายและ ได้พาร์ทเนอร์ทางการค้าที่ดีเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเถ้าแก่น้อย เมื่อตัวแทนจำหน่ายจัดทำแผนการตลาด เถ้าแก่น้อยจะร่วมพูดคุยและมีส่วนร่วมด้วยเสมอ”

วชิระยกตัวอย่างว่า “หากตัวแทนจำหน่ายของประเทศไหนต้องการทำโฆษณาทีวี เราก็จะไปศึกษาผู้บริโภคที่เป็นกลุ่มเป้าหมายของประเทศนั้น และดูว่าสามารถเข้าถึงคนกลุ่มนี้ผ่านโฆษณาทีวีได้หรือไม่ หรือการใช้โซเชียลมีเดียจะเป็นกลยุทธ์ที่ดีกว่า เมื่อมั่นใจแล้ว เราค่อยตกลงเรื่องแชร์ค่าใช้จ่ายโฆษณา โดยหวังว่าทุกเม็ดเงินการลงทุนต้องเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายให้ได้มากที่สุด”

กำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นสอดคล้องกับดีมานด์ของตลาด และการกำหนดราคาที่ถูกต้องเหมาะสม จึงจะเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง

หลายปีมานี้ เราจะเห็นสินค้าเถ้าแก่น้อยตามร้านสะดวกซื้อต่างๆ ทั้งในจีน ฮ่องกง ไต้หวัน  สิงคโปร์ อินโดนิเซีย มาเลเซีย และอีกหลายประเทศ วชิระเล่าให้เราฟังว่า “พวกเราพยายามควบคุมราคาขายในแต่ละช่องทางและราคาขายปลีกในแต่ ละประเทศให้ได้มากที่สุด และร่วมมือกับตัวแทนจำหน่ายอย่างใกล้ชิดเพื่อขยายช่องทางการขาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดจีน และการจัดทำกิจกรรมส่งเสริมการขายต่างๆ การควบคุมราคาขายในแต่ละช่ องทางจึงกลายเป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญในตลาดต่างประเทศของเถ้าแก่น้อย

แบรนด์เถ้าแก่น้อยบุกเข้าตลาดต่างประเทศอย่างรวดเร็ว และสินค้าขายได้รวดเร็วจนเกิดปัญหาผลิตสินค้าไม่ทัน ด้วยเหตุนี้จึงมีการสร้างโรงงานเพิ่มอีกแห่งในนิคมอุตสาหกรรมโรจนะ และเชื่อว่าจะสามารถขยายกำลังการผลิตได้เป็นเท่าตัวภายใน 3-6 เดือน เพื่อตอบสนองอุปสงค์ที่เพิ่มมากขึ้นจากตลาดทั่วโลก

ไม่กลัวแต่ไม่ประมาทสินค้าคู่แข่ง เพราะคอนเซ็ปต์แบรนด์คือกุญแจสำคัญ

ความสำเร็จของเถ้าแก่น้อยในการสร้างกระแส “เถ้าแก่น้อยฟีเวอร์” ในไทย ทำให้ธุรกิจจำนวนมากสนใจร่วมลงทุน ทำให้เกิดแบรนด์คู่แข่งขึ้นมากมาย แต่เถ้าแก่น้อยก็ยังมีส่วนแบ่งทางการตลาดมากถึง 65% ในส่วนนี้ วชิระขอบคุณการสนับสนุนจากลูกค้า ทั้งยังกล่าวย้ำถึงความแข็งแกร่งของแบรนด์เถ้าแก่น้อยว่า “ พวกเราเริ่มต้นจากการทำสาหร่าย ดังนั้นเราจึงเข้าใจสินค้านี้อย่างทะลุปรุโปร่ง การผลิตสาหร่ายเป็นอุตสาหกรรมที่ต้องอาศัยความรู้และเทคโนโลยี ทั้งในแง่วัตถุดิบและกระบวนการผลิต เถ้าแก่น้อยใช้สาหร่ายนำเข้าจากเกาหลีใต้ 100% ซึ่งความใส่ใจในวัตถุดิบก็เป็นหนึ่งในกุญแจความสำเร็จของเรา”

นอกจากนี้ วชิระยังย้ำกับเราด้วยความมั่นใจว่า “ประสบความสำเร็จได้ก็เพราะเราคือเถ้าแก่น้อย!” สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของแบรนด์สปิริตอย่างชัดเจน คุณภาพสินค้าและคอนเซ็ปต์แบรนด์ที่แข็งแกร่ง สร้างกระแสตอบรับดีเยี่ยมจากผู้บริโภค ทั้งยังทำให้เกิดความชื่นชอบในตัวแบรนด์อีกด้วย

อ่านบทสัมภาษณ์ฉบับภาษาจีน โปรดคลิกที่นี